“ผ่าคลอดเจ็บไหม ผ่าคลอดเจ็บแค่ไหน” เป็นประสบการณ์ที่ผู้หญิงว่าที่คุณแม่มักกังวล วันนี้แม่ต้นหอมขออนุญาตมารีวิวการผ่าคลอด เจ็บก็ต้องบอกว่าเจ็บ แต่เป็นความเจ็บปวดที่สวยงามและทนไหว จะเจ็บแค่ไหน มาติดตามกันค่ะ
รีวิว ประสบการณ์ผ่าคลอดท้อง 2 ของแม่ต้นหอม

ต้นฝากครรภ์กับแพ็คเกจฝากครรภ์ของโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านแห่งหนึ่งค่ะ เป็นการตรวจครรภ์ 10 ครั้ง ครั้งสุดท้ายคุณหมอจะพาเข้าเครื่องวัดท้องแข็ง ถ้ายังไม่มีสัญญาณคลอดก็สามารถรอไปถึงวัดนัดผ่าได้
ท้องแข็ง จะมีอาการเจ็บร้าวมดลูกเป็นเส้นๆ ร้าวไปถึงหลัง เป็นอาการที่บอกยากนิดนึง สักพักมดลูกจะบีบตัวเป็นจังหวะ ด้วยความถี่หลายครั้งต่อชั่วโมง แล้วจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนคลอด ถ้าได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลคุณหมอจะพารัดสายเข้าเครื่องวัดท้องแข็งค่ะ
เนื่องจากท้องแรกเคยผ่ามาก่อน เพื่อลดความเสี่ยงอื่นๆ ท้องสองก็ต้องผ่าด้วย โดยคุณหมอจะกรีดผ่าให้ทางแผลเดิมค่ะ
ไปถึง รพ. ประมาณ 9.50 น. เป็นนัดฝากครรภ์ครั้งสุดท้าย คุณหมอจะให้นอนรัดสายเข้าเครื่องวัดท้องแข็ง ใช้เวลาวัด 30 นาที แล้วหากมีอาการคุณหมอก็จะประเมินต่อไป ตอนเช้าพาลูกคนโตไปส่งไว้บ้านยาย ตอนสายๆ เข้าเครื่องวัดท้องถึงรู้ว่ามีอาการท้องแข็งหลายลูกคลื่นแล้ว เพื่อความชัวร์พยาบาลห้องรอคลอดขอตรวจต่ออีกครึ่งชั่วโมง เรียกคุณหมอขึ้นมาดูก็พบว่าท้องแข็งแล้ว
รวมถึงการตรวจภายใน เมื่อคุณหมอสวมถุงมือเข้าไปวัดขนาดปากมดลูกก็พบว่าปากมดลูกเปิด 1 ซม. แล้ว คุณหมอสอบถามว่ารับประทานอาหารครั้งสุดท้ายมาตอนกี่โมง พอนึกได้ว่า 8.30 น. ก็ให้งดน้ำงดอาหารเตรียมรอห้องแอดมิดได้เลย

พยาบาลให้เปลี่ยนชุดรอในห้อง และสวนให้ถ่ายอุจจาระ ยาสวนที่ได้รับนั้นพอเข้าไปไม่นานก็ต้องรีบเข้าห้องน้ำ เบ่งทะลุทะลวงมากจนคิดว่าปากมดลูกคนเปิดเพิ่มแน่ ณ ตอนนั้นเริ่มมีเลือดออกทางช่องคลอดแล้ว
ได้เวลาผ่าประมาณ 16 – 17.00 น. ใช้เวลาอย่างรวดเร็ว แต่ระหว่างบล็อกหลัง รู้สึกกลัวนิดหน่อย แต่พยาบาลบอกว่าไม่เจ็บเท่าตอนเจาะสายน้ำเกลือที่แขน ซึ่งก็เป็นจริงตามที่เขาบอก ไม่เจ็บเลยค่ะ เรากลัวไปเอง
เมื่อเรานอนบนเตียง พยาบาลก็เอาผ้าคลุมสีเขียวๆ มาคลุมตัวเราไว้ และปิดไม่ให้เราเห็นตอนผ่า แต่เรารู้สึกตัวอยู่ตลอด แม้กระทั่งตอนลงมีด รู้สึกว่ามีอะไรกระทบแต่ไม่ปวด มาเจ็บก็ตอนพาลูกออกมาแล้ว และเหมือนคุณหมอขูดอะไรที่ท้อง ยังไม่เย็บแผล ใจก็อยากจะถาม แต่ว่าไม่กล้าพูดถาม กลัวไปหมด
เมื่อเย็บแผลเสร็จ ลูกก็ถูกส่งไปห้องเด็กแล้ว ส่วนแม่ก็นอนรอดูอาการ 2 ชั่วโมง ที่ห้องพักใกล้ๆ ระหว่างนอนรอนั้นเจ็บท้องมาก เจ็บ 10 เต็ม 10 ร้องขอยาแก้ปวด คุณหมอสัญญาว่าจะให้แต่พี่พยาบาลยังไม่ฉีดให้ ได้ฉีดเข็มแรกก็ตอนขึ้นไปห้องพัก
ณ ห้องรอดูอาการเป็น 2 ชั่วโมงที่ยาวนานมาก ใจหนึ่งก็กังวลว่าลูกจะเป็นยังไงบ้าง ได้ยินว่าน้ำหนักน้อย (น้อยกว่าคนแรก) อีกใจก็เป็นห่วงตัวเอง ว่าพรุ่งนี้จะลุกเดินไหวไหม
คุณหมอบอกว่าได้ขูดพังผืดที่มดลูกออก ตอนพยาบาลช่วยกดไล่เลือดให้ออกมาจากสายปัสสาวะนั้น รู้สึกเจ็บท้องมาก เจ็บบอกไม่ถูกว่าเจ็บอะไร มารู้ตอนหลังว่าเป็นมดลูก ตรงที่พี่พยาบาลกด เป็นบริเวณที่ถูกกรีดพังผืดพอดี
เมื่อครบ 2 ชั่วโมงก็จะได้กลับขึ้นมาบนห้องพัก เป็นเวลาประมาณ 19.00 น. แน่นอนว่ายังไม่ได้กินข้าวแน่ๆ จะได้กินก็หลัง 12.00 น. ของอีกวัน หลังคลอด 4 ชั่วโมงยังขยับตัวไม่ค่อยได้ ต้องนอนราบถึง 03.00 น. เป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต ขอยาฉีดและพยาบาลก็ฉีดเข้าทางสายน้ำเกลือให้ แผลเจ็บขยับไม่ได้ ตอนที่เวรเปลเข็นมาแรงกระแทกที่ล้อเตียงเราก็ปวดแผล เมื่อยกเราขึ้นเตียงนอนให้ห้องพัก เราก็เจ็บแผล เจ็บไปหมดทำอะไรไม่ได้ พยายามกระดิกปลายเท้า ก็ทำได้ข้างซ้ายข้างเดียว

6 ชั่วโมงแรก ขาด้านขวายังชาอยู่ ดื่มได้แต่น้ำเปล่าแบบจิบๆ ปัสสาวะจะออกมาทางสายสวน พยาบาลก็เก็บไปทิ้งให้ แม่ก็ได้แต่นอนอยู่อย่างนั้น ยังไม่เห็นหน้าลูกเพราะลูกต้องอยู่ในตู้อบ เข็นมาที่ห้องไม่ได้
คืนแรก แทบไม่ได้นอน ปวดแผลตลอดเวลา เมื่อพ้น 03.00 น. ถึงเปลี่ยนท่าขยับตัวได้ แต่ก็ยังลุกไม่ได้ กระดิกไม่ได้มาก สองวันแรกพยาบาลต้องมาเช็ดตัวเช้าเย็น เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าที เจ็บไปหมด
พยาบาลจะเข้ามาวัดไข้กับวัดความดันให้ทุก 4 ชั่วโมง ลืมเล่าว่าพยาบาลวางถาดอ้วกไว้ให้ เพราะบางคนเมื่อฤทธิ์ยาชาหมด จะเวียนหัวและอาเจียน โชคดีที่ต้นไม่มีอาการ รวมถึงอาการคันผิวหนัง เราก็ไม่มีด้วย รอดไป
วันที่ 1 หลังคลอด

ได้รับประทานอาหารเที่ยงตามเวลา เป็นมื้อแรก นึกว่าจะกินอะไรไม่ค่อยได้ ปรากฎว่าก็กินได้หมดจานด้วยความหิว การรับประทานอาหารนั้นเป็นเรื่องที่ต้องรีบทำให้ได้ เพราะลำไส้จะได้ฟื้นตัวเร็ว มื้อแรกๆ ยังต้องกินบนเตียง เดินไม่ได้
น้ำนมยังไม่มา สิ่งที่ต้องรีบทำที่สุดคือพักผ่อนให้ตัวเองแข็งแรงไวๆ จะได้เดินไปหาลูกได้
พักฟื้นวันแรกเจ็บมาก ขอยาฉีดไป 2 รอบ ยากินเอาไม่อยู่ ปวดจนทนไม่ไหว เทียบกับท้องแรกแล้วท้องนี้เจ็บกว่าเยอะ ท้องแรกมีอาการปวดท้องแบบคลอดธรรมชาติด้วยคงมีกลไกธรรมชาติที่ทำให้เจ็บน้อย หายเร็ว แต่ท้องนี้ผ่าแบบไม่ได้ตั้งตัวเลยเจ็บเยอะฟื้นช้าไปหน่อย
วันแรกแม่ลุกไม่ได้เลยค่ะ ได้แต่นอนอย่างเดียว

วันที่ 2 หลังคลอด
ผ่านคืนที่ 2 มาแล้ว หลับๆ ตื่นๆ วันนี้ได้เอาสายปัสสาวะออก และต้องลุกหัดเดินค่ะ คุณหมอเข้ามาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ เขาใช้ที่ปิดแผลแบบพลาสติกแผ่นใหญ่ๆ เพื่อกันน้ำ ออกจาก รพ.จะได้อาบน้ำได้ ได้แอลกอฮอล์กับน้ำเกลือมาไว้ให้ทำแผลหลังนัดติดตามอาการหลังออกจาก รพ. 7 วัน (สุดท้ายวันนัดแม่ลืมเอามา เลยต้องเสียค่าบริการส่วนนี้เพิ่มอีก 200 บาท)
พยายามลุกเดินไปหาลูก ไปไม่ได้ค่ะ เวียนหัวหน้ามืด
พยายามเข้าห้องน้ำไปถ่ายหนัก เพราะได้รับยาถ่ายเข้าไป เป็นเรื่องหนักหนามากจริงๆ เข้าห้องน้ำ 4 รอบ ถ่ายไม่ออก ลุกจากเตียงทีทรมาน
สายรัดท้องหลังคลอดนั้นสำคัญมาก ไม่ใส่แล้วจะเดินไม่ได้ ตกเส้นละ 500 บาท เจ็บท้องไปหมดเลยค่ะ
วันที่ 3 หลังคลอด
วันนี้แม่ควรได้ออกจาก รพ.ตอนเย็นๆ แต่แม่ยังลุกทำอะไรไม่ได้เลย ใจก็คิดว่าถ้าจำเป็นต้องออกวันนี้คงต้องจ้างพยาบาลพิเศษมาดู แต่คุยกับคุณหมอแล้วลูกยังต้องอยู่อีกคืน แม่ก็ยังไม่ค่อยไหว ก็เลยขอนอนอีกคืนนึง ค่าใช้จ่ายตก 5700 บาท
ได้ปั๊มนม ได้ลุกไปหาลูก พยาบาลให้แม่นั่งให้นม เพื่อให้ลูกเรียนรู้การกินนมจากเต้า ดูว่านมย่อยดีไหม หายใจแรงไหม อุ้มลูกที่อยู่ในผ้าห่อ เขาตัวเล็กมาก ต้องทะนุถนอม
วันที่ 4 หลังคลอด
วันนี้จะได้ออกจาก รพ. ทั้งแม่และลูกแล้วค่ะ ยังประหม่ากันทุกคน คุณพ่อก็ด้วย ของใช้เด็กยังเตรียมไม่ครบ เพราะไม่ได้ตั้งใจคลอดวันนั้น กลับมาถึงบ้านก็ต้องเตรียมของทั้งๆ ที่ยังปวดแผล และต้องอาบน้ำลูก เป็นกิจกรรมที่ใช้พลังมากสำหรับผู้หญิงที่เพิ่งผ่าตัด แนะนำว่ามื้อแรกควรมีคนช่วยดูอยู่ข้างๆ ค่ะ เป็นคุณพ่อก็ได้ ช่วยหยิบจับ หยิบของ ทั้งผ้าอ้อม ชุด ผ้าเช็ดตัว สบู่ สำลีเช็ดสะดือ ฯลฯ
สัปดาห์แรก อาการเจ็บแผลค่อยๆ ดีขึ้น ผ้ารัดหน้าท้องได้ใส่ตลอดช่วง 3-4 วันแรก ยาแก้ปวดต้องกินสลับกันระหว่างไอโพรบูเฟน กับพารา หลังคลอดขึ้นลงบันไดได้ไหม ? ตอนท้องนี้มีความจำเป็นต้องขึ้นลง แม่ขึ้นลงวันละ 2 รอบ ก็พอได้อยู่ค่ะ แต่ถ้าให้ขึ้นลงมากกว่านั้นจะเจ็บแผลมาก
โชคดีที่ว่า 3 วันแรก อะไรๆ ก็เริ่มลงตัว พอเราจัดวางข้าวของให้หยิบใช้สะดวก ก็ลงตัว รู้เวลากิน เวลานอนของลูก แล้วก็เตรียมตัว ที่สำคัญแม่ต้องพักผ่อนเยอะๆ แล้วดูแลอาหารในช่วงเดือนแรกให้ดี
สิ่งที่ทรมานที่สุดคืออาการไอ จาม ค่ะ เป็นขึ้นมาทีก็ปวดท้องเอาเสียมากๆ เลย
อาการใกล้คลอด เป็นแบบไหน

ผู้หญิงที่ใกล้จะคลอดจะมีสัญญาณใกล้คลอดจากร่างกายบอกให้คุณแม่เตรียมตัว อย่ารอจนถึงน้ำคร่ำแตก น้ำคร่ำเดินแล้วค่อยไปโรงพยาบาล เพราะเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีที่ตรวจจับการคลอดได้ดีกว่าปล่อยให้ลูกมาจ่อที่อุ้งเชิงกรานแล้วค่อยผ่าหรือคลอดเอง ดังนี้ค่ะ
1. ท้องลด
อาการท้องลด คือลักษณะท้องของแม่จะเหมือนว่าลูกไปกองรออยู่ที่อุ้งเชิงกรานมากๆ และท้องบริเวณใต้ราวนมจะแบนลง ถ้าเรายืนหันข้างเข้ากระจก ลักษณะจะเหมือนลูกชมพู่ ไม่ได้กลมเหมือนส้มโอในช่วง 7-8 เดือน ท้องแรกกับท้องสองของต้นนั้นมีอาการท้องลดให้สังเกตเห็นเหมือนกันค่ะ พอท้องเริ่มลด ไม่เกิน 1 สัปดาห์ ก็ต้องคลอดเลย
2. ท้องแข็ง
ต้นนัด OR เพื่อผ่าคลอดในวันที่ 23 มิถุนายน แต่วันที่มาตรวจครรภ์ 18 มิถุนายน คุณหมอบอกว่ามีอาการท้องแข็งแล้ว ที่รอไม่ได้คือปากมดลูกเปิด 1 เซนแล้ว ถ้ารอไปเรื่อยๆ เสี่ยงมดลูกแตกที่บ้าน
3. ปากมดลูกเปิด
ปากมดลูกเปิด เป็นวิธีที่คุณหมอจะตรวจภายในคุณแม่ ถ้าคุณหมอแยงนิ้วเข้าไปตรวจเจอแล้ว เหมือนเป็นการกระตุ้นคลอดอย่างหนึ่ง ปากมดลูกก็จะเปิดขึ้นเรื่อยๆ และถ้าคุณหมอบอกว่าปากมดลูกนิ่มแล้ว ก็แสดงว่าใกล้คลอดเต็มที
4. ปวดปัสสาวะแบบกลั้นไม่อยู่
อาการปวดปัสสาวะแบบกลั้นไม่อยู่ เป็นอาการใกล้คลอดที่ชัดเจนมาก หากรู้สึกว่าเข้าห้องน้ำแล้วเบ่งออกไม่หมดสักทีแล้วต้องการเบ่งอีก อย่าเพิ่งเบ่ง ให้ไปโรงพยาบาลเลยค่ะ
5. น้ำคร่ำเดิน
น้ำคร่ำเดินเป็นอาการที่มีน้ำไหลออกมาจากช่องคลอด เป็นสัญญาณของการคลอดธรรมชาติที่คุณแม่บางคนไม่รู้ตัว ในส่วนนี้ต้นเองก็ไม่เคยรอให้ถึงจุดนั้น ไว้รอให้แม่ๆ ที่มีประสบการณ์น้ำคร่ำเดินมารีวิวนะคะ