ทำไมคนท้องไม่ควรป่วย – ก็เพราะมีเรื่องให้เสียตัวค์มากนั่นเอง
หมอบอกมาตั้งแต่ต้นที่ฝากครรภ์แล้วว่า ให้รักษาตัวดีดี ถ้ามีอาการเจ็บป่วยให้รีบมาหาหมอ .. ฟังแบบนี้แล้วรู้สึกว่าคนท้องนี่ต้องมีอาการป่วยง่าย ภูมิคุ้มกันลดกว่าคนทั่วไปหรือเปล่า?
เรื่องมีอยู่ว่า ตั้งแต่ท้อง ก็ต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์บ่อยมาก (อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง) แม้จะเป็นการซ้อนระยะสั้น แต่การกระแทกเพียงนิดหน่อยก็ทำให้เรากังวลไปเองว่าถ้าเกิดบาดเจ็บขึ้นมาจะต้องทำอย่างไรเพราะประกันสังคมอยู่ไกลเหลือเกิน
บัตรประกันอุบัติเหตุไม่ครอบคลุมเรื่องท้อง
ผู้เขียนเองถือกรมธรรม์ประกันชีวิตมาตั้งหลายปี ก็ไม่รู้ว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุตอนท้อง ทางประกันจะไม่จ่าย จะไม่ครอบคลุมค่ารักษาในเงื่อนไข PA ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะค่าใช้จ่ายของคนท้อง มีเรื่อง “การแท้ง” “การขูดมดลูก” ที่เป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นมาจากปกติ เพียงแค่ระวังเรื่องกระแทกอย่างเดียวไม่พอ บางคนอ้วกหนัก ๆ จนเลือกออกทางช่องคลอดก็มี
ไม่ดีเลยมาเป็นอาหารเป็นพิษตอนท้อง เหตุเกิดจากอาหารที่เคยกินบ่อย ๆ แท้ ๆ หรือเป็นเพราะยาที่ต้องกินก่อนนอนทำปฏิกิริยากับอาหาร แล้วคินนั้นกินข้าวดึกด้วย กินเสร็จตอน 21.00 น. ทานยาตอน 22.00 น. หลังจากนั้น 2ั2.40 น. อ้วกไม่หยุด อ้วกจนนอนไม่ได้ จะคลานไปหยิบยาคาร์บอนมาดูดสารพิษก็หาไม่ไหว ยืนไม่ไหว อ้วกจนน้ำตาไหล
ต้องหาหมอแล้ว!! เดินไปบอกสามีให้พาไปหาหมอ รู้ตัวว่าอาจจะต้องจ่ายแพง แต่เป็นครั้งที่กลัวตายครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่เคยอ้วกขนาดนี้ และกลัวลูกจะเป็นอะไรด้วย ความกลัวใหญ่โตนี้ทำให้เสียเงินไป 18,000 กว่าบาท
การนอนโรงพยาบาลเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด หมอฉุกเฉินถามว่าจะนอนไหม หรือ จะดูอาการแล้วกลับไปรักษาตัวที่บ้าน ด้วยความที่กลัวลูกเป็นอะไร ก็ขอนอนไว้ก่อน ขอเจอหน้าหมอฝากครรภ์ให้อุ่นใจตามสไตล์คนไทย ย้ายจากห้องฉุกเฉิน ไปห้องพักสูตินรีชั้น 15
ต้องขอบคุณคุณหมอเวรสูตินรีช่วงกะดึกวันนั้นมาก ที่มาปลุกมาประเมินอาการให้กลางดึก เพราะเราเป็นห่วงลูกมาก คำว่าห่วงลูกกว่าชีวิตตัวเองมาให้สัมผัสก็ครั้งนี้ ธรรมชาติได้ปลูกสิ่งนี้ไว้กับร่างกายผู้หญิง ลูก 4 เดือน ยังเล็กอยู่เลย คลอดก่อนกำหนดก็ไม่ได้
หมอหยิบที่ฟังเสียงหัวใจมากดฟังที่หน้าท้อง หาเสียงหัวใจลูกไม่เจอ เป็นการป่วยครั้งแรกที่มีสติสูงมาก เล่าทุกฉากได้เป็นฉากเป็นตอน (เพราะความเป็นนักเขียน) คลำ 2 ครั้งแรกหาหัวใจเด็กไม่เจอ ต้องคลำรอบ 3 พบว่าเด็กเปลี่ยนท่านอนจากแนวราบ มาเป็นแนวดิ่ง พอคุณหมอบอกว่าหัวใจลูกเต้นปกติแม่ก็ดีใจ
หลังจากเดินทางกันมาถึงค่อนคืน คุณพ่อก็เลยขอตัวกลับไปเอาเสื้อผ้า ของใช้ มาอยู่เป็นเพื่อน (แม่มาแต่ชุดนอน แม้กระทั้งขุดชั้นในก็ไม่ได้ใส่) หลังจากนั้นก็หลับยาวด้วยฤทธิ์ยา และหายเพลียจากน้ำเกลือ ถุงละ 900 บาท!!!
อ้วกที่อาเจียนออกมาหมดเกลี้ยงจนแสบท้อง ลากขึ้นมาตั้งแต่ลำไส้ ออกมาเป็นอ้วกเขียว ๆ ปวดท้องมาก ยาเคลือบกระเพาะที่ได้ไปก็ตัวนี้เหมือนกัน แสบยันไส้ เหมือนกลางลำตัวจะขาด ต้องนอนขด ยกขา จนหมอถามว่าทำไมนอนท่าประหลาด ก็น่าจะเพราะปวดท้องนี่แหละ
ไม่รู้ว่าแพ้ท้องหรืออาหารเป็นพิษ
ตอนเช้าหมอที่ฝากครรภ์มา หมอก็กดท้อง บอกว่าปกติ ท้องไม่แข็ง แต่ชีพจรของคุณแม่เต้นเร็วผิดปกติ พยาบาลก็จับแขนอีกข้าง ผิดปกติเช่นกัน ก็เลยต้องรอดูผลเจาะเลือด และคุณหมอก็ให้ยาฆ่าเชื้อมาอีก 1 ถุงเล็กๆ ใส่มากับถุงน้ำเกลือ ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อที่แรงพอสมควร ทำง่วงนอนไปตลอดทั้งวัน
ตอนบ่าย ๆ สัก 17.00 น. ถึงได้ออกจากโรงพยาบาล โดยไปตรวจกับคุณหมออีกครั้งที่ชั้น 4 – เพิ่งรู้ว่าที่หมอให้ ยาฆ่าเชื้อ ก็เพราะว่ามีจำนวนเม็ดเลือดขาวขึ้นสูงมาก หมอกลัวจะเป็นไส้ติ่ง ขอดูอาการและกดท้องดูก่อน .. ผู้เขียนตกใจมาก อาหารเป็นพิเศษเฉย ๆ อยู่ ๆ จะเป้นไส้ติ่งเลยหรอ? สรุปก็ไม่เป็นนะ!
ค่ารักษาพยาบาลที่แพงมีค่าห้อง 6,550 บาท รวมกับ ค่ายาอีกประมาณ 12,000 บาท พอดีจำได้ว่าที่คอนโดมีโปรโมชั่นร่วมกับโรงพยาบาลจึงไปขอส่วนลดค่ายา – ค่าห้อง ลดไปประมาณ 1,200 บาท สิ่งที่แพงคือ ค่ายา และ ค่าบริการพยาบาลต่าง ๆ
การป่วยครั้งนี้ถือว่ามาดูห้องพักฟื้นก่อน แต่ก็เป็นการเยี่ยมชมที่ไม่ได้จำเป็นอยากจะเข้ามาสักเท่าไรห่ ไม่มีใครอยากป่วย งานนี้กลับไปต้องไปดูรายละเะอียดประกันสุขภาพไว้สักที่ ป้องกันค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันอย่างนี้ขึ้นมาอีก ♦
4 Comments